
Mindful Eating แนวคิดกินอย่างมีสติ ฝึกสมาธิบนโต๊ะอาหาร
Mindful Eating เมื่อใจและปากก้าวเดินไปพร้อมกัน เมื่อการกินอาหารไม่ได้เป็นเพียงการเติมเต็มกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่า แต่เป็นการเติมเต็มสมาธิและสุขภาพ
Mindful Eating คืออะไร
เมื่อพูดถึงวิธีที่จะนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีได้ หลายคนคงนึกถึงการนั่งสมาธิเพื่อผ่อนคลายจิตใจ และลดความเครียด แต่ที่หลายคนไม่รู้คือ แม้แต่การกินอาหารก็สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้
Mindful Eating หรือการกินอย่างมีสติ แนวคิดที่ให้เราใส่ใจกับการกินในทุกคำ โดยเน้นความรู้สึกตัวและสภาพจิตใจ ณ ช่วงเวลาที่กำลังกินอาหารอย่างเต็มที่ โดยไม่ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความรู้สึก หรือสิ่งเร้า จนทำให้เรากินเกินความจำเป็น
ซึ่งมีข้อมูลทางการแพทย์ที่ระบุว่า Mindful Eating สามารถส่งเสริมสุขภาพจิตใจและร่างกายได้
ทำไม Mindful Eating จึงสำคัญ ?
ความสำคัญของ Mindful Eating อยู่ที่การรับรู้รสชาติ กลิ่น สี สัมผัส และปริมาณอาหาร ตลอดจนสัญญาณความหิวและความอิ่มจากร่างกาย หรือแม้แต่ความรู้สึกทางจิตใจที่ตอบสนองต่อรสชาติของอาหาร
เมื่อเราสามารถเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย จิตใจ และอาหารได้อย่างลึกซึ้ง การกินของเราก็จะมีคุณค่ามากขึ้น ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการกิน ช่วยให้ดื่มด่ำกับรสชาติและสัมผัสของอาหารอย่างเต็มที่ หรือแม้แต่ช่วยลดความเสี่ยงของผลกระทบต่อสุขภาพจากการกินมากเกินไป
ประโยชน์ของ Mindful Eating ต่อจิตใจและร่างกาย
ปัจจุบัน Mindful Eating ไม่ใช่ทฤษฎีอีกต่อไป แต่เป็นแนวทางปฏิบัติในการกินอาหารที่ได้รับความนิยมมากขึ้น และมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์หลายชนิดรองรับ โดยการกินอย่างมีสติตระหนักอาจส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านต่อไปนี้
1. ลดการกินตามอารมณ์ (Emotional Eating)
หลายคนอาจหยิบอาหารมารับประทานเมื่อเครียด วิตกกังวล หรือเบื่อ โดยไม่ได้รู้สึกหิว ซึ่งเป็นกลไกการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย จนกลายมาเป็นนิสัย
การฝึก Mindful Eating จะช่วยเราตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า “ตอนนี้หิวจริงไหม ?” เมื่อเข้าใจว่ามีการกินเพราะอารมณ์เกิดขึ้น ก็จะช่วยให้เราหาวิธีอื่นในการจัดการอารมณ์แทนการกินจุกจิก นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยังชี้ว่า การกินอย่างตระหนักรู้ยังอาจช่วยลดความรุนแรงของภาวะการกินผิดปกติ อย่างโรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder) ได้ด้วย
2. ส่งเสริมสุขภาพจิตและสมดุลทางอารมณ์
การมีสติกับทุกคำที่กิน ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย คุณจะรู้สึกสงบมากขึ้น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้โฟกัสกับอาหารตรงหน้า Slow down—and try mindful eating บทความจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า Mindful Eating เป็นตัวช่วยในการลดความเครียด ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตได้
สำหรับคนที่มีพฤติกรรมการกินมากเกินไปอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจ อย่างความรู้สึกผิดหลังจากกินอาหารเข้าไปปริมาณมาก Mindful Eating จึงอาจช่วยลดผลกระทบในข้อนี้ได้
3. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
Mindful Eating ไม่ใช่การลดน้ำหนักหรือการควบคุมอาหารโดยตรง แต่เป็นการตระหนักรู้ว่าร่างกายต้องการอาหารมากน้อยแค่ไหน เมื่อตระหนักว่าหิวจริง เราก็กินอย่างมีสติ และหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่ม ช่วยลดการได้รับพลังงานมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคอ้วน และปัญหาสุขภาพอื่นตามมาได้
นอกจากนี้ งานวิจัยขนาดเล็กในคนที่มีโรคอ้วน Mindful Eating ช่วยให้กลุ่มตัวอย่างมีความอยากอาหารลดลง และความเครียดลดลง
4. เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
เมื่อคุณฝึกให้ใส่ใจกับอาหาร คุณจะเริ่มตั้งคำถามว่า “อาหารชนิดนี้ดีต่อร่างกายหรือไม่ ?” “มันประกอบด้วยอะไรบ้าง ?” การมีสติในการกินทำให้เราหันมาเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น อย่างผัก ผลไม้ และอาหารไขมันต่ำ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว หรือแม้คุณอาจไม่ได้เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็อาจช่วยให้คุณกินอาหารที่ไม่ดีน้อยลงได้เช่นกัน
5. เพิ่มความรู้สึกพึงพอใจต่ออาหาร
Mindful Eating ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้เพลิดเพลินกับอาหารอย่างแท้จริง เราจะเคี้ยวช้าลง สัมผัสรสชาติได้ครบถ้วน ได้ดื่มด่ำและตระหนักถึงความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากจบมื้ออาหาร จากเดิมที่ต้องกินอาหารปริมาณมากเพื่อเติมเต็มรสชาติ แต่หากใช้เทคนิคนี้อาจช่วยให้คุณกินอาหารอร่อยขึ้น เติมเต็มความต้องการด้านรสชาติมากขึ้นด้วยอาหารที่ปริมาณน้อยลง
4 สเต็ปพื้นฐาน Mindful Eating
Mindful Eating ไม่ได้มีขั้นตอนที่แน่ชัด คุณสามารถใช้สเต็ปต่อไปนี้เพื่อปรับใช้ในเทคนิคนี้ได้
1. สำรวจความรู้สึกก่อนกิน
ลองถามตัวเองก่อนเสมอว่า “หิวจริงหรือเปล่า ?” ก่อนจะซื้อหรือเริ่มกินอาหาร หากพบว่าคุณไม่ได้หิว แต่อยากกินเพราะความเครียดหรือเบื่อ ให้ลองเปลี่ยนกิจกรรม อย่างลุกไปเดินเล่นหรือหายใจลึก ๆ เพื่อผ่อนคลาย
2. พิจารณาและดื่มด่ำกับอาหาร
คุณอาจเริ่มจากการมองดูหน้าตาของอาหารเพื่อทำความรู้จักกับส่วนประกอบต่าง ๆ สัมผัสกับกลิ่นหอม เมื่อคุณเริ่มกิน ให้เคี้ยวช้า ๆ เพื่อสัมผัสรสชาติอย่างละเอียด วางช้อนและส้อมทุกครั้งที่ตักอาหารเข้าปากเพื่อชะลอความเร็วในการกิน
วิธีนี้จะช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับอาหารมากขึ้น โดยระหว่างนั้นควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสิ่งรบกวน เช่น ไม่ใช้สมาร์ตโฟน ไม่ดูทีวี ไม่อยู่ในที่เสียงดัง หรือมีกลิ่นรบกวน เพื่อโฟกัสกับอาหารและรสสัมผัสอย่างมีสติ
3. เฝ้าสังเกตความอิ่ม
การกินอาหารอย่างมีสติ และการควบคุมจังหวะการกินจะช่วยลดการได้รับพลังงานเกิน เพราะเมื่อท้องอิ่มแล้ว ร่างกายจะใช้เวลากว่า 20 นาที เพื่อส่งสัญญาณไปยังสมองให้เกิดความรู้สึกอิ่ม ซึ่งเมื่อเกิดความรู้สึกอิ่ม ควรหยุดกินทันที แม้จะเหลืออาหารก็ตาม
คุณอาจเกิดความรู้สึกเสียดายอาหารในช่วงแรกของการฝึก Mindful Eating แต่สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจปริมาณอาหารที่เหมาะสมในครั้งถัดไป
4. สะท้อนความรู้สึกหลังการกิน
หลังจากกินเสร็จ ลองประเมินตัวเองว่ารู้สึกอย่างไร อิ่มสบายหรือแน่นท้องเกินไป หากเป็นไปได้ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ Mindful Eating ผ่านการจดบันทึกสั้น ๆ ถึงความรู้สึกและความพึงพอใจหลังมื้ออาหาร เมื่อทำเป็นประจำ คุณจะเห็นแนวโน้มพฤติกรรมการกิน และสามารถปรับปรุงได้ดีขึ้น
Mindful Eating เป็นวิธีเชื่อมโยงจิตใจและร่างกายเข้าด้วยกัน ผ่านการใส่ใจกับอาหารทุกคำที่กินเข้าไป ซึ่งช่วยเสริมสมาธิ ฟื้นฟูสภาพจิตใจ และดีต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ไม่ใช่สูตรในการลดน้ำหนัก หรือป้องกันโรค เพื่อให้รับประโยชน์จาก Mindful Eating สูงที่สุด การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่จำเป็น
Mindfulness Eating ใช้ชีวิตแบบรู้กิน ฝึกทำเมนู สุข – ง่าย – ดี การกินอย่างรู้สติที่ทำให้ร่างกายและจิตใจทำงานประสานกัน คุณจะได้ลงมือทำเมนูสุขภาพด้วยตัวเอง เรียนรู้ว่าอาหารที่ดีไม่ได้เป็นแค่โภชนาการ แต่คือการมอบความสุขให้กับร่างกายและหัวใจของเรา
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ club100.bt.th/
– Club 100 Exclusive Health Program ที่จะพาคุณเข้าสู่การรวมศาสตร์แห่งการมีอายุยืน ผสานสุขภาพกาย ใจ สังคม ความคิด –
ที่มาของข้อมูล
- Cleveland Clinic: “What Is Mindful Eating?”.
- Harvard Medical School: “Slow down—and try mindful eating”.
- Healthline: “Mindful Eating 101 — A Beginner’s Guide”.